ประวัติศาสตร์
ฝรั่งเศส โกล พวก
ฟรองก์สามารถยึดแผ่นดินจาก
พวกโกลได้ และนำ
คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกเข้ามา พวกฟรองก์เจริญสูงสุดในปี
ค.ศ. 771 เมื่อ
พระเจ้าชาร์เลอมาญ ครองราชสมบัติ และขยายอาณาเขตครองยุโรปแผ่นดินหลัก ไปจนจรดอาณาจักรมุสลิมของพวก
สเปน พระเจ้าชาร์เลอมาญได้เป็นผู้ปกครอง
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ในที่สุด
เพิ่มเติม en:Franks ฟรองก์ หลังการตายของพระเจ้าชาร์เลอมาญ ฝรั่งเศสต้องประสบปัญหาการบุกรุกของเผ่า
ไวกิง ทีอพยพลงใต้มายังฝรั่งเศส พระเจ้าชาร์เลอมาญทรงยกนอร์มังดี
เมืองนอร์มังดี ในปัจจุบันให้เป็นของพวกไวกิ้งจึงอยู่กันได้อย่างสงบ ชาวนอร์มังดีบางครั้งก็ว่าตนเป็นฝรั่งเศสบางครั้งก็เป็นอังกฤษ อังกฤษเปลี่ยนแผ่นดินก็ยกกำลังผลฝรั่งเศสไปชิงบังลังค์ ได้บังลังค์อังกฤษแล้วก็ยกมาตีฝรั่งเศสใหม่
เพิ่มเติม en:France in the Middle Ages สมัยกลาง ราชวงศ์วาลัว (Valois Dynasty) มีกษัตริย์ปกครอง 14 พระองค์ เริ่มจาก
พระเจ้าฟิลิปที่ 6 ไปจนถึง
พระเจ้าอองรีที่ 3 ในช่วงที่แพ้สงครามกับอังกฤษ ก็เกิดตำนานของ
โจนออฟอาร์ค (ชาน ดาร์ก) (Joan of Arc) หญิงสาวที่อ้างว่าได้ยินเสียงของพระเจ้าให้มาปลดปล่อยฝรั่งเศส
ราชวงศ์วาลัวได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงที่เกิดการแตก
นิกายโปรเตสแตนต์ ออกจาก
นิกายโรมันคาทอลิก และส่งผลให้เกิดสงครามศาสนาในที่สุด
เพิ่มเติม en:Valois Dynasty ราชวงศ์วาลัว (ค.ศ. 1328 - ค.ศ. 1589) เริ่มตั้งแต่ยุคของพระนาง
แคเทอรีน เดอ เมดิซี ที่ต้องถ่วงดุลอำนาจระหว่างพวกบูร์บง ซึ่งนับถือนิกายโปรเตสแตนต์ กับพวกกีส ซึ่งเป็นฝ่ายโรมันคาทอลิก
สงครามศาสนาจบลงด้วยการลอบปลงพระชนม์
พระเจ้าอองรีแห่งกีส และ
พระเจ้าอองรีที่ 3 ในปี
ค.ศ. 1589 พระเจ้าอองรีที่ 4ซึ่งเป็นโปรเตสแตนต์ ได้ขึ้นครองราชย์ และเริ่มต้น
ราชวงศ์บูร์บง เพิ่มเติม en:French Wars of Religion
สงครามศาสนา เพิ่มเติม ราชวงศ์บูร์บง ราชวงศ์บูร์บง (ค.ศ. 1859 - ค.ศ. 1793) พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นกษัตริย์ที่ปรีชาสามารถ และรวมเอาภาพของประเทศเข้ากับตัวกษัตริย์ เป็นที่มาของคำพูดว่า
"
L'État, c'est moi!" (I am the state!) ซึ่งหมายถึง "รัฐ คือตัวข้า"
เป็นผู้เริ่มก่อสร้าง
พระราชวังแวร์ซาย (Versailles) และตรงกับสมัยของ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชของไทย
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ค.ศ. 1643 - ค.ศ. 1715) พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงอภิเษกสมรสกับพระนาง
มารี อองตัวเนต การใช้ชีวิตในราชสำนักอย่างฟุ่มเฟือยทำให้เกิด
การปฏิวัติฝรั่งเศส ทั้งสองพระองค์โดนประหารด้วย
กีโยตินในปี
ค.ศ. 1793ซึ่งการถูกประหารของทั้ง 2 พระองค์ ทำให้เกิดแนวคิดการปฏิวัติเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ประชาชนในประเทศยุโรปเริ่มทำการต่อต้าน กษัตริย์ของตนเอง เพื่อให้พวกเขาได้ปลดแอกเป็นอิสระ และในขณะที่ประหารนั้น ประชาชนได้มามุงดูเพื่อจะดูว่า สีเลือดของกษัตริย์นั้นเป็น สีน้ำเงินหรือสีแดง ปรากฏเลือดเป็นสีแดง ทำให้พวกเขาได้ทราบว่าสีเลือดของกษัตรฺย์นั้นไม่ได้แตกต่างกับพวกตน ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่ากษัตริย์ก็เหมือนพวกเขานั่นเอง
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (ค.ศ. 1754 - ค.ศ. 1793) บทความหลัก การปฏิวัติฝรั่งเศส หลังจากนั้นเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยเรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่ 1 ซึ่งมีเปลี่ยนรูปแบบการปกครองสามครั้ง ดังนี้
การปฏิวัติฝรั่งเศส (ค.ศ. 1793 - ค.ศ. 1804) หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเลือกตั้งโดยชายชาวฝรั่งเศสที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งนับเป็นการใช้สิทธิ์ออกเสียงครั้งแรกของโลก ที่ไม่ได้แบ่งแยกชนชั้นที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง มีสมาชิกในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 183 คน
การปกครองนำโดยคณะกรรมการซึ่งมีหลายชุด ที่มีชื่อเสียงคือ 'คณะกรรมาธิการความปลอดภัยแห่งสาธารณะ' และ 'คณะกรรมาธิการความมั่นคงทั่วไป'
เพิ่มเติม en:National_Convention สมัชชาแห่งชาติ (ค.ศ. 1792 - ค.ศ. 1795) ช่วงที่การปกครองแบบใหม่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาใหม่หลายครั้ง และสุดท้ายอำนาจการปกครองตกไปอยู่ในมือของคณะมนตรี ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอำนาจ 5 คนคานอำนาจกันอยู่
นโปเลียน โบนาปาร์ต เกิดในปี
ค.ศ. 1769 ที่
เกาะคอร์ซิกา ซึ่งอยู่ทางใต้ของ
ประเทศฝรั่งเศสใน
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นทหารในกองทัพฝรั่งเศสที่มีความสามารถ หลังจากทำศึกได้ชัยชนะต่อ
อิตาลี และ
ออสเตรียในปี
ค.ศ. 1797 ทางรัฐบาลเกรงว่า
นโปเลียนจะเป็นอันตรายต่อ จึงถูกส่งไปยัง
อียิปต์ เพื่อตรวจสอบความเคลื่อนไหวของ
อังกฤษใน
อินเดีย นโปเลียนแพ้
สงครามแห่งแม่น้ำไนล์ ให้กับ
อังกฤษ และถูกเรียกตัวกลับในปี
ค.ศ. 1799 เพิ่มเติม en:French Directory การปกครองโดยคณะมนตรี (ค.ศ. 1795 - ค.ศ. 1799) ค.ศ. 1799 นายพล
นโปเลียน โบนาปาร์ต ยึดอำนาจจากคณะมนตรี และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกงสุลคนแรกของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุด
นโปเลียนดำรงตำแหน่งกงสุลในปี
ค.ศ. 1799 -
ค.ศ. 1803 ก่อนที่
นโปเลียนจะสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิในเวลาต่อมา
หลังจากนั้นฝรั่งเศสต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกหลายครั้ง สลับกันระหว่างแบบกษัตริย์ กับแบบสาธารณรัฐ จนกระทั่งปัจจุบัน
เพิ่มเติม en:French Consulate การปกครองโดยคณะกงสุล (ค.ศ. 1799 - ค.ศ. 1804) ในช่วงจักรวรรดิที่ 1 มีเหตุการณ์สำคัญดังต่อไปนี้
เพิ่มเติม en:First French Empire ค.ศ. 1804 นโปเลียนสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ และนับเริ่มยุคของจักรวรรดิฝรั่งเศสตั้งแต่นั้น
ค.ศ. 1805 ความพยายามของฝรั่งเศสร่วมกับ
สเปนในสงครามทางทะเลเพื่อล้มอังกฤษล้มเหลว ลอร์ดเนลสันได้ชัยชนะที่แหลมทราฟัลการ์ใน
สเปน (
สงครามที่ทราฟัลการ์) และส่งผลให้
อังกฤษได้เป็นเจ้าทะเลในช่วงศตวรรษที่ 18 นโปเลียนจึงเบนความสนใจมายังภาคพื้นทวีปแทน
ค.ศ. 1805 นโปเลียนได้ชัยชนะต่อ
ออสเตรียซึ่งมี
รัสเซียหนุนหลัง ในสงครามที่
ออสเตอร์ลิตซ์ ค.ศ. 1812 นโปเลียนแพ้ในการบุกรุกเข้าไปในพรมแดน
รัสเซียเนื่องจากเผชิญกับอากาศที่หนาวเหน็บ ทหารฝรั่งเศสเหลือเพียง 1 หมื่นคน จาก 6 แสนคนในตอนแรก
ค.ศ. 1813 ชาติต่างๆ ในยุโรปรวมตัวกันต่อสู้กับฝรั่งเศส ใน
สงครามนานาชาติ ที่เมือง
ไลปซิก ฝ่ายพันธมิตรชนะ และทำให้ดินแดนฝั่งตะวันออกของ
แม่น้ำไรน์เป็นของ
ประเทศเยอรมนี ค.ศ. 1814 ประเทศอังกฤษ ปรัสเซีย รัสเซีย และ
ออสเตรีย รวมกำลังกันยึด
ปารีสได้ในเดือนมีนาคม
นโปเลียนถูกบังคับให้สละบัลลังก์ และถูกเนรเทศไปยัง
เกาะเอลบา (Elba) ใน
ทะเลเมดิเตอเรเนียน นับเป็นการสิ้นสุดยุคจักรวรรดิที่ 1
จักรวรรดิที่ 1 (ค.ศ. 1804 - ค.ศ. 1815) หลังจากเอาชนะ
นโปเลียนได้ ฝ่ายพันธมิตรได้ฟื้นฟู
ราชวงศ์บูร์บง ขึ้นมาใหม่ โดยมีกษัตริย์สององค์คือ
และ
หลุยส์-ฟิลิปที่ 1 ได้ตั้งราชวงศ์ออร์เลออง ซึ่งมีกษัตริย์เพียงพระองค์เดียว จนถึง
การปฏิวัติ ค.ศ. 1948 ในฝรั่งเศส ในสมัยของ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 (Louis XVIII) ปี
ค.ศ. 1815 นโปเลียนได้หลบหนีออกมาจากเกาะเอลบา และเผชิญหน้ากับกองทัพที่
พระเจ้าหลุยส์ที่ 18ส่งมา
นโปเลียนเดินเข้าหาเหล่าทหารและพูดว่า "ทหารคนไหนต้องการยิงจักรพรรดิของท่าน เชิญยิงได้เลย" ("If any man would like to shoot his emperor, he may do so") ทหารทุกคนหันมาอยู่ข้าง
นโปเลียนและ
นโปเลียนได้ยึดฝรั่งเศสเป็นเวลา 100 วัน
ดยุคแห่งเวลลิงตัน (Duke of Wellington) (อังกฤษ) และนายพลบลือเชอร์ (Gebhard Leberecht von Blücher) (เยอรมัน) ได้เอาชนะ
นโปเลียนใน
การรบที่วอเตอร์ลู (Battle of Waterloo) ในเบลเยียม คืนอำนาจให้
พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 และเนรเทศ
นโปเลียนไปยัง
เกาะแซงเตแลน (เซนต์เฮเลนา) นอกชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก
นโปเลียนเสียชีวิตในปี
ค.ศ. 1821 พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ค.ศ. 1814 -
ค.ศ. 1824 พระเจ้าชาร์ลที่ 10 ค.ศ. 1824 -
ค.ศ. 1830 หลุยส์-ฟิลิปที่ 1 ค.ศ. 1830 -
ค.ศ. 1848 ยุคราชวงศ์ฟื้นฟู หลุยส์ นโปเลียน (Louis Napoleon) หลานลุงของ
นโปเลียน ซึ่งหลบหนีไปยังอังกฤษในปี
ค.ศ. 1846 ได้กลับมารับเลือกตั้ง และได้เป็น
ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐฝรั่งเศสในปี
ค.ศ. 1848 ในปี
ค.ศ. 1852 เขาสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ
นโปเลียนที่ 3 และเริ่มยุคจักรวรรดิที่สอง
เพิ่มเติม en:French Second Republic สาธารณรัฐที่ 2 (ค.ศ. 1848 - ค.ศ. 1852) จักรพรรดิ
นโปเลียนที่ 3 แพ้สงคราม
en:Franco-Prussian War ให้แก่นายกรัฐมนตรีบิสมาร์ค (Otto von Bismarck) ของเยอรมัน และถูกล้มล้างจากคณะปฏิวัติ
หลุยส์ นโปเลียน ตายในปี
ค.ศ. 1873 ที่ประเทศอังกฤษ
เพิ่มเติม en:French Second Empire จักรวรรดิที่ 2 (ค.ศ. 1852 - ค.ศ. 1870) เป็นระบอบสาธารณรัฐที่อยู่ได้นานถึง 70 ปีจนกระทั่งการบุกของเยอรมันใน
สงครามโลกครั้งที่ 2 เพิ่มเติม en:French Third Republic สาธารณรัฐที่ 4 (ค.ศ. 1946 - ค.ศ. 1958) นายพล
ชาร์ล เดอ โกลใช้ระบบประธานาธิบดีที่เลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง แทนระบบรัฐสภาแบบเดิม ซึ่งคงอยู่มาถึงปัจจุบัน สาธารณรัฐที่ 5 ของฝรั่งเศสมีประธานาธิบดีมาทั้งหมด 5 คนดังนี้
เพิ่มเติม en:French Fifth Republic นายพล
ชาลส์ เดอ โกล ค.ศ. 1958 -
ค.ศ. 1969 ชอร์ช ปงปีดู ค.ศ. 1969 -
ค.ศ. 1974 วาเลรี ชีสการ์ แดสแตง ค.ศ. 1974 -
ค.ศ. 1981 ฟรองซัว มีแตรอง ค.ศ. 1981 -
ค.ศ. 1995 ชาก ชีรัก ค.ศ. 1995 -
ค.ศ. 2007 นีโกลา ซาร์โกซี ค.ศ. 2007