วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2550


ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ (Diana, Princess of Wales) หรือพระนามเต็มคือ ไดอานา ฟรานเซส - สกุลเดิม สเปนเซอร์ (Diana Frances , née The Lady Diana Spencer) (ประสูติ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ที่เมืองแซนดริงแฮม ประเทศอังกฤษ — สิ้นพระชนม์ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส) เป็นพระชายาพระองค์แรกของเจ้าฟ้าชายชาลส์ แห่งเวลส์ จากการอภิเษกสมรสเมื่อปี พ.ศ. 2524 และได้ทรงหย่าขาดเมื่อปี พ.ศ. 2539 พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศ เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เป็นพระองค์ที่ 9 ของพระอังกฤษ ซึ่งสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปได้ขนานพระนามค์ว่า "เจ้าหญิงไดอานา" ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วพระนามนี้ถือว่าผิดในทางทฤษฎี
นับตั้งแต่ทรงหมั้นกับเจ้าชายแห่งเวลส์ในปี พ.ศ. 2524 จนกระทั่งการสิ้นพระชนม์จากอุบัติเหตุรถยนต์ ในปี พ.ศ. 2540 ไดอานาเป็นผู้หญิงสำคัญคนหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะความสนพระทัย การฉลองพระองค์ รวมถึงพระกรณียกิจของพระองค์ได้รับความสนใจจากทั่วทุกมุมโลก พระองค์ทรงเป็นผู้นำแฟชั่น เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม ความหวังของผู้ป่วยโรคเอดส์ และทูตสันถวไมตรีที่เชื่อมทุกความขัดแย้ง แต่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือพระองค์ทรงเป็นพระราชินีในดวงใจของประชาชนอีกด้วย ตลอดทั้งพระชนม์ชีพพระองค์เป็นผู้ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดคนหนึ่งในโลกราวกับนักแสดงที่มีชื่อเสียง

ประวัติ
ไดอานาประสูติเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ทรงเป็นธิดาคนสุดท้องของวิสเคานท์และวิสเคานท์เตสอัลทอป ไดอานาทรงรับศีลล้างบาปที่โบสถ์เซนต์แมรีแม็กดาแลน พระองค์ทรงมีพี่น้อง 5 คนดังนี้
เลดีซาราห์ แม็กคอเดล พี่สาวคนโต
เลดีเจน เฟเลอว์ พี่สาวคนรอง
ชาลส์ เอิร์ลสเปนเซอร์คนที่ 9 น้องชายคนเดียว
หลังการหย่า ออเนอเรเบิลฟรานเซส พระมารดาของเจ้าหญิงพยายามที่จะขอมีอำนาจในการปกครองบุตร-ธิดาทุกคนโดยการร้องขอต่อศาล หากแต่แพ้คดีความ อำนาจในการปกครองบุตรธิดาจึงตกอยู่ที่พระบิดา ซึ่งหลังจากพระอัยกา (ปู่) ของไดอานา เอิร์ลคนที่ 7 แห่งสเปนเซอร์ถึงแก่อนิจกรรม วิสเคานท์อัลทอปในฐานะบุตรชายคนโตจึงได้รับสืบทอดยศของตระกูลต่อมา เป็นเอิร์ล คนที่ 8 แห่งสเปนเซอร์ ธิดาทั้งสามคน (ซาราห์ เจนและไดอานา) ได้รับยศเป็นเลดี้ ในขณะที่ชาลส์ ในฐานะที่เป็นทายาทผู้จะสืบตำแหน่งเอิร์ลแห่งสเปนเซอร์ต่อไป จึงดำรงยศเป็นวิสเคานท์อัลทอป
ต่อมาเอิร์ล คนที่ 8 แห่งสเปนเซอร์ พระบิดาได้สมรสอีกครั้งกับเรนน์ เคานท์เตสแห่งดาร์มอท ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างแม่เลี้ยงและลูกเลี้ยงทั้ง 4 คนนั้นเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก

อลิซาเบธ ซาราห์ ลาวินา สเปนเซอร์ (เลดี้ซาราห์ แม็กคอเดล ปัจจุบันเป็นประธานมูลนิธิไดอานา ตามพระประสงค์ของเจ้าหญิง)
ซินเธีย เจน สเปนเซอร์ (เลดี้เจน เฟเลอว์ ปัจจุบันคือ บารอนเนสเฟเลอว์)
จอห์น สเปนเซอร์ (ถึงแก่กรรมหลังคลอดได้เพียง 10 ชั่วโมง)
ไดอานา ฟรานเซส สเปนเซอร์ (เจ้าหญิงแห่งเวลส์)
ชารลส์ เอ็ดเวิร์ด มัวไรส์ สเปนเซอร์ (เอิร์ลสเปนเซอร์คนที่ 9) วัยเด็ก
ครอบครัวสเปนเซอร์ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์มานานแล้ว เลดีฟรอยเมยซึ่งเป็นคุณยายของเจ้าหญิงนั้น เป็นพระสหายและนางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระราชชนนีอลิซาเบธ มาเป็นเวลานาน ประกอบกับการที่เจ้าชายแห่งเวลส์เคยทรงคบหาอยู่กับเลดี้ซาราห์และเลดี้เจน พี่สาวของเลดี้ไดอานา ทำให้พระองค์ทรงคุ้นเคยกับไดอานาพอสมควร และเมื่อเจ้าฟ้าชายชาลส์พระชนม์ได้ราว 30 พรรษา พระองค์ได้รับการร้องขอให้ทรงเสกสมรส ตามกฎหมายพระองค์จะต้องเสกสมรสกับสตรีที่ไม่ได้นับถือนิกายโรมันคาทอลิค แต่นับถือนิกายโบสถ์แห่งอังกฤษ

อภิเษกสมรส
เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์ มีพระโอรส 2 พระองค์ คือ

เจ้าชายวิลเลียม แห่งเวลส์ ประสูติ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2525 รัชทายาทลำดับที่ 2 แห่งอังกฤษ ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจาก มหาวิทยาลัยอีตันในสาขาวิชาภูมิศาสตร์ ชีววิทยาและประวัติศาสตร์ศิลปะ (ผลการทรงศึกษาทั้งหมดด้วยลำดับขั้น A) จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ และสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดริวส์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ปัจจุบันทรงเข้ารับการฝึกเป็นทหารอยู่ที่ประเทศชิลี
เจ้าชายแฮร์รี แห่งเวลส์ ประสูติ 15 กันยายน พ.ศ. 2527 รัชทายาทลำดับที่ 3 แห่งอังกฤษ ถูกโจมตีมากที่สุดว่าเป็นเจ้าชายเจ้าปัญหา ด้วยพระอารมณ์รุนแรง หรือการฉลองพระองค์ไม่เหมาะสม (เช่นชุดนาซี) พระโอรส
ไดอานานอกจากจะมีพระโอรส 2 พระองค์แล้ว ยังทรงมีลูกเลี้ยง (godchildren คือ เด็กที่พระองค์ทรงเป็นแม่ทูนหัว) อีกเป็นจำนวน 17 คน ดังมีรายชื่อต่อไปนี้

เลดีเอ็ดวิน่า กรอสเวนเนอร์ ธิดาของดยุคและดัชเชสแห่งเวสมินสเตอร์ โดยเป็นลูกเลี้ยงคนแรกของไดอานา
ฮอนเนอเรเบิ้ลอเล็กซานดร้า นัตช์บอลล์ ธิดาของลอร์ดและเลดีโรมเซ่ย์
แคลร์ คาซาแลท ธิดาของอิซาเบล และ วิคเตอร์ คาซาแลท
คามิลล่า สไตรเกอร์ ธิดาของเรเบิ้น และฮอนเนอเรเบิ้ลโซเฟีย สไตรเกอร์ ซึ่งเป็นพระสหายที่เคยอยู่แฟลตห้องเดียวกันกับไดอานา
เจ้าชายฟิลิปเปส์ พระราชโอรสของอดีตกษัตริย์คอนสแตนตินและสมเด็จพระราชินีแอนน์ มารี
ลีโอนารา ลอนสเดล ธิดาของเจมี่และลอร่า ลอนสเดล ลอร่าเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของไดอานา
แจ๊กกี้ วอร์แรน บุตรของจอห์นและเลดีแคโรลีน วอร์แรน
เลดีแมรี่ เวลเลสลี่ย์ ธิดาของมาควิสและมาชันเนสแห่งโดโร
จอร์จ ฟรอสต์ บุตรของเซอร์เดวิดและเลดีคาริน่า ฟรอสต์
แอนโทนี่ ทวิสตัน-ดาวี่ ธิดาของออดลี่ย์ ทวิสตัน-ดาวี่ และฮอนเนอเรเบิ้ลแคโรลีน ฮาร์บอด-ฮาร์มอนด์ แคโรลีนเป็นพระสหายที่ไดอานาทรงวายพระทัยมาก
แจ๊ค ฟลอคเนอร์ บุตรของซีมอนด์และอิซาเบล ฟอล์คเนอร์
ลอร์ดเอ็ดเวิร์ด ดาวน์แพททริค บุตรของเอิร์ลแค้นท์เตสแห่งเซ้นท์แอนดรูว์
แจ๊ค บาทโลเมล บุตรของวิลเลี่ยมและแคโรลีน บาทโลเมล แคโรลีนเป็นพระสหายตั้งแต่มัธยมและเคยอยู่แฟลตห้องเดียวกับไดอานา
เบนจามิน ซามูแอล บุตรของฮอนเนอเรเบิลไมเคิลและจูเลีย ซามูแอล จูเลียเป็นพระสหายสนิทของไดอานา ทั้งสองคนมักรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันเสมอๆ อีกทั้งยังเป็นเพื่อนไม่กี่คนที่ไดอานาขอคำปรึกษาเรื่องครอบครัวที่ร้าวฉาน
แอนโทนี่ แฮร์ริงตัน ธิดาของโจนาธาน แฮร์ริงตัน
ดิซซี่ย์ โซแอมซ์ ธิดาของฮอนเนอเรเบิลรูเพิร์ทและคามิลลา โซแอมซ์
โดเมนิก้า ลอว์ซัน ธิดาของดอมินิค ลอว์ซันและฮอนเนอเรเบิลโรซา มอนซ์ตัน โรซาเป็นพระสหายคนที่ไดอานาไปประทับอยู่ด้วย 1 เดือนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ โดเมนิก้าเป็นลูกเลี้ยงคนสุดท้ายของไดอานา ลูกเลี้ยง
เหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างความคาดหมายของทุกคน ในระยะแรกเจ้าหญิงไม่สามารถทรงปรับพระองค์ให้เข้ากับชีวิตของความเป็นเจ้าฟ้าหญิงได้ และทรงทุกข์ทรมานจากพระโรค bulimia (อยากอาหาร แต่เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว จะอาเจียนออกมาจนหมด แต่ความอยากอาหารก็จะยังคงมีอยู่ตลอดเวลา) ซึ่งหลังจากหายขาดจากพระโรค เจ้าหญิงได้มีพระประสูติกาลเจ้าชายวิลเลียม หลังจากนั้นอีก 3 ปี พระองค์ได้มีพระประสูติกาลอีกครั้ง เจ้าชายแฮร์รี เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์เริ่มทรงมีความสัมพันธ์กับคามิลลา ปาร์กเกอร์โบลส์อย่างเปิดเผย บางคนเชื่อว่าเนื่องจากเจ้าฟ้าชายชาลส์ไม่สามารถทนได้ที่พระชายาได้รับความชื่นชมมากกว่าพระองค์ (คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ของเจ้าฟ้าหญิงมาซาโกะ มกุฎราชกุมารีแห่งญี่ปุ่นในปัจจุบัน) ภาระทั้งหมดกลับตกไปที่ไดอานาในฐานะที่ควรจะ "ทรงทนให้ได้" เจ้าหญิงพยายามอย่างยิ่งที่จะพยายามเชื่อมความสัมพันธ์ของพระองค์กับชาลส์ไว้ให้นานที่สุด แต่ไม่เป็นผล สื่อมวลชนประโคมข่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเจ้าฟ้าชายชาลส์กับคามิลลา อย่างครึกโครม รวมทั้งข่าวคราวระหว่างเจ้าหญิงกับผู้ชายอีกหลายคน นั่นทำให้ทั้ง 2 พระองค์คิดว่า เรื่องราวทั้งหมดควรจะจบลงเสียที ความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์ในขณะนั้น สื่อมวลชนเรียกว่า "สงครามแห่งเวลส์" (War of Waleses)
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ สงครามแห่งเวลส์

ทรงหย่า
เจ้าหญิงแห่งเวลส์ได้ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมากมายหลายประการ ดังนี้
"In 1987, when so many still believed that AIDS could be contracted through casual contact, Princess Diana sat on the sickbed of a man with AIDS and held his hand. She showed the world that people with AIDS deserve no isolation, but compassion and kindness. It helped change world's opinion, and gave hope to people with AIDS.''
นอกจากนี้ เจ้าหญิงยังทรงสนพระทัยในศาสนาอย่างมาก พระองค์เคยทรงเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 อีกด้วย และยังทรงโปรดการที่ได้เล่นกับเด็กโดยไม่ถือพระองค์ ทรงเป็นแม่ทูนหัวของเด็กถึง 17 คน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเพราะพระองค์ทรงเคยเป็นครูที่โรงเรียนอนุบาลมาก่อนก็ได้ ในด้านการต่างประเทศทรงเป็นทูตสันถวไมตรีในหลายๆ ประเทศ การเสด็จของพระองค์นำความยินดีให้กับทุกคนที่จะได้เฝ้าฯ เป็นที่น่าเสียดายว่าก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ไม่นานทรงมีหมายกำหนดการที่จะเสด็จเยือน จังหวัดภูเก็ต แต่ยกเลิกไปเสียก่อน

ด้านโรคเอดส์ ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2530 เจ้าหญิงแห่งเวลส์ทรงเป็นบุคคลสำคัญคนแรกของโลกที่ถูกถ่ายรูปว่าจับต้องตัวผู้ป่วยโรคเอดส์ ความคิดและทัศนคติต่อคนที่ป่วยเป็นโรคเอดส์เปลี่ยนไปทันที และคนป่วยเองก็มีกำลังใจมากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะจากคำพูดของประธานาธิบดี บิล คลินตัน ซึ่งกล่าวถึงไดอานา ในปี พ.ศ. 2530 ว่า
ต่อต้านกับระเบิด เจ้าหญิงเสด็จไปในการทรงต่อต้านการวางกับระเบิด ในฐานะที่ทรงเป็นสมาชิกวิสามัญของสภากาชาดแห่งอังกฤษ ภาพที่พระองค์ทรงจับมือเด็กหญิงที่ถูกกับระเบิดกำลังจะสิ้นใจตราบกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของเธอ นำความเศร้าอย่างยิ่งให้กับโลก พระกรณียกิจ

เหตุการณ์สิ้นพระชนม์
เมื่อวันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เวลา 15.37 น. มีผู้พบเห็นไดอานาเสด็จลงจากเครื่องบินที่มีต้นทางจากประเทศกรีซ ที่สนามบินเลอร์ บู เจ๊ตในกรุงปารีส ในเวลาประมาณ 15.40น.เจ้าหญิงได้เสด็จขึ้นรถ เมอร์ซีเดส เบนซ์ สีดำรุ่น E600 รุ่นปี 1997 ออกจากสนามบินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับทรงนัดพบกับ โดดี อัลฟาเยด์ ที่อพาร์ตเมนต์กลางกรุงปารีส หลังจากนั้น เวลาประมาณ 17.45 น. มีผู้พบเห็นไดอานากับนายโดดี พร้อมองครักษ์ อีกครั้งขณะช็อปปี้งในย่านถนน "ชองเอลีเซ่" ขณะนั้นช่างภาพอิสระรุมถ่ายพระฉายาลักษณ์พระองค์กับนายโดดี โดยเวลา 18.40 น. เจ้าหญิงจึงเสด็จกลับ มีการดักฟังทางโทรศัพท์ว่า เจ้าหญิงจะทรงพบกับนายโดดีอีก ที่โรงแรมริทซ์เพื่อเลี้ยงพระกระยาหารค่ำในเวลา 21.31 น. และเจ้าหญิงได้เสด็จถึงโรงเเรมเมื่อเวลา 21.31 โดยในระหว่างเวลา 21.40-23.30 น. เจ้าหญิงทรงอยู่ในงานเลี้ยงอันหรูหราของนายโดดี แต่มีรายงานการใช้โทรศัพท์ของเจ้าหญิงว่าทรงโทรศัพท์ไปหานางมารา โหรหญิงและเจ้าของร้านอาหารอิตาเลียนในกรุงลอนดอน พระสหายสนิทพระองค์ เพื่อทำนายดวงชะตาและขอคำปรึกษาปัญหาชีวิตภายในอีก 2-3 อาทิตย์ข้างหน้า
ก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อยเจ้าหญิงเสด็จออกจากโรงแรมเพื่อกลับที่ประทับ ช่างภาพอิสระชุดเก่าที่จึงสะกดรอยตามพระองค์อีกครั้ง จนมาถึงถนนลอดอุโมงค์ Point De Alma ใต้แม่น้ำเซน ที่ชื่อว่า แต่รถพระที่นั่งซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วประมาณ 126 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อหลบหนีการตามล่าของเหล่านักภาพ ก็ได้พุ่งชนกับแผงราวเหล็กกั้นอุโมงค์อย่างจัง เนื่องจากถนนลอดอุโมงค์มีความลาดชันมาก ทำให้รถยนต์พระที่นั่ง หมุนตัวและพุ่งชนแผงเหล็กอีกด้านหนึ่ง ส่งผลให้หม้อน้ำเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง โดยเฮนรี พอลล์ คนขับรถและนายโดดี เสียชีวิตทันที ส่วนเจ้าหญิงและนายเทรเวอร์ เรสยอนส์ องครักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหญิงมีบาดแผลฉกรรจ์ที่พระพักตร์ พระโลหิตออกมากและยังมีพระโลหิตไหลในพระปัปผาสะ
เมื่อเวลา 00.15 น. รถพยาบาลคันแรกของโรงพยาบาลเซ็นต์เดอลาปีแอร์ มารับเจ้าหญิงและองครักษ์ หลังจากนั้นอีกชั่วโมงกว่า แต่เจ้าหญิงนั้นทรงเสียพระโลหิตมาก และยังทรงมีพระโลหิตตกค้างที่พระปัปผาสะอยู่เป็นจำนวนมากด้วย พระอาการทรงตัวต่อมาเรื่อยๆ จนเมื่อเวลา 03.35 น. พระหทัยอ่อนพระกำลังลงเรื่อยๆ ซึ่งในขณะนั้นชีพจรอยู่ที่ 23 ครั้งต่อนาที

อุบัติเหตุ
หลังจากนั้นอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เวลา 04.00 น. ดร.บรูโน ริโอ แพทย์ผู้ทำการรักษาเจ้าหญิงไดอานา ประกาศว่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการพระโลหิตไหลในพระปับผาสะและสูญเสียพระโลหิตมาก ส่วนนายเทรเวอร์ เรสยอนส์ องครักษ์นั้นเป็นคนเดียวในอุบัติเหตุที่รอดชีวิต สำนักพระราชวังบักกิ้งแฮมได้ออกแถลงการณ์ยืนยันในวันรุ่งขึ้น และแจ้งว่าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายวิลเลียม และ เจ้าชายแฮร์รี แห่งเวลส์ ทรงทราบข่าวแล้ว สมเด็จพระราชินีนาถ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดงานพระศพได้ที่ มหาวิหารเวสมินตัน โดยพระราชวงศ์อังกฤษทุกพระองค์เสด็จฯ เข้าร่วมพิธีพระศพ เจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี่ซึ่งยังคงทรงโศกเศร้ามากนั้น มีคุณปีเตอร์ ฟิลิปส์ (พระโอรสในเจ้าฟ้าหญิงแอนน์) จับมือและคอยให้กำลังใจตลอดเวลา แขกสำคัญนอกจากพระราชวงศ์ทุกพระองค์แล้วยังมีครอบครัวสเปนเซอร์ทุกคน และมีผู้ร่วมไว้อาลัยประมาณ 3,500 คน

เจ้าหญิงไดอาน่า สิ้นพระชนม์
ผู้คนทั่วทั้งโลกล้วนตกตะลึงและโศกเศร้ากับข่าวการสิ้นพระชนม์ของไดอาน่า ดอกไม้หลายล้านดอกและจดหมายนับล้านๆ ฉบับถูกส่งถึงหน้าพระราชวังเพื่อไว้อาลัยถวายแด่เจ้าหญิงแห่งเวลส์ โดยมีบุคคลสำคัญที่ได้แสดงความไว้อาลัยแก่ไดอานา เช่น สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 เลดี้ซาราห์ แม็กคอเดลและ เลดี้เจน เฟเลอว์ พระเชษฐภคินีของเจ้าหญิง ชาร์ลส์ เอิร์ล สเปนเซอร์ พระอนุชา และเซอร์เอลตัน จอห์น ได้ร้องเพลง Candle in the wind เพื่อบรรเลงถวายอาลัยแก่ไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ในงานพระศพ
การ์ดใบสุดท้ายถึง "แม่"
ดอกไม้จำนวนนับล้านดอกหน้าพระราชวัง
พระศพขณะที่เคลื่อนเข้าสู่พระราชพิธี

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ ไว้อาลัยถวายไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ เจ้าหญิงไดอาน่า พระพินัยกรรม
ไดอาน่าทรงดำรงพระอิสริยยศต่างกันตามช่วงเวลาดังนี้
สำหรับพระนามและพระอิสริยยศเต็มๆ ของพระองค์นับตั้งแต่พระราชพิธีอภิเษกสมรสจนถึงทรงหย่า คือ

The Honourable Diana Frances Spencer (1 กรกฎาคม พ.ศ. 25049 มิถุนายน พ.ศ. 2518
The Lady Diana Frances Spencer (9 มิถุนายน พ.ศ. 251829 กรกฎาคม พ.ศ. 2524
Her Royal Highness the Princess of Wales (29 กรกฎาคม พ.ศ. 252428 สิงหาคม พ.ศ. 2539
Diana, Princess of Wales(28 สิงหาคม พ.ศ. 253931 สิงหาคม พ.ศ. 2540) เกร็ดข้อมูล

เจ้าหญิงแห่งเวลส์
เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์
เจ้าชายวิลเลียม แห่งเวลส์
เจ้าชายแฮร์รี แห่งเวลส์

ไม่มีความคิดเห็น: